ในเมืองที่ไม่เคยหลับใหลอย่างกรุงเทพฯ ยังมีมุมหนึ่งที่เวลาเดินช้าลงเสมอ นั่นคือ Park Hyatt Bangkok โรงแรมหรูระดับไอคอนนิค ตั้งอยู่ใจกลาง ถนนวิทยุ (Wireless Road) ย่านที่โอบล้อมด้วยความร่มรื่นของต้นไม้เก่าแก่และความสง่างามของสถานทูตต่าง ๆ ที่เรียงรายโดยรอบ ที่นี่ตั้งอยู่เหนือ Central Embassy ศูนย์การค้าระดับลักซ์ชัวรีใจกลางเมือง ทำให้ผู้เข้าพักได้สัมผัสทั้งความสงบและความสะดวกในคราวเดียว
Park Hyatt Bangkok ถือเป็นหนึ่งในโรงแรมแฟล็กชิปของเครือ Park Hyatt ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดดเด่นด้วยแนวคิด “Luxury is Personal” ได้อย่างลึกซึ้ง ความหรูที่ไม่ตะโกนเสียงดัง แต่แฝงอยู่ในรายละเอียด ความใส่ใจ และประสบการณ์ที่ถูกปรับให้เข้ากับแต่ละบุคคล

ผลงานการออกแบบของ Yabu Pushelberg สถาปนิกชื่อดังชาวแคนาดา และ Pi Design จากประเทศไทย ถ่ายทอดอัตลักษณ์ของแบรนด์ Park Hyatt ได้อย่างงดงามในทุกมิติ ทั้งความเรียบ คม แต่ละเมียดในรายละเอียด ทุกเส้นสายของอาคารถูกออกแบบให้ “ไหลลื่น” เหมือนงานศิลปะที่เปลี่ยนไปตามแสงแดดในแต่ละช่วงเวลา ภายนอกอาคารสะท้อนด้วยกระจกโค้งมน ดึงแสงธรรมชาติเข้ามาอย่างพอดี ขณะที่ภายในตกแต่งด้วยหินอ่อน ไม้เนื้อดี และผ้าไหมไทยในโทนอบอุ่น จนเกิดเป็นบรรยากาศที่ผสมผสานระหว่างความร่วมสมัยกับความเป็นไทยได้อย่างกลมกลืน

Park Hyatt Bangkok จึงเป็นดั่งจุดนัดพบของศิลปะ ความเงียบสงบ และการใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย ตั้งแต่ห้องพักที่ออกแบบให้มีเอกลักษณ์ในแต่ละมุม ไปจนถึงพื้นที่ส่วนกลางที่จัดแสงและวัสดุอย่างประณีต ไม่ว่าจะมองจากโถงลิฟต์ ล็อบบี้ หรือสระว่ายน้ำลอยฟ้า ทุกมุมคือเฟรมของความงามที่ตั้งใจให้คุณได้หยุดมองและหายใจอย่างช้า ๆ อีกครั้ง

ที่นี่คือสถานที่ที่ “ความหรูไม่ใช่สิ่งที่ต้องแสดงออก แต่เป็นสิ่งที่รู้สึกได้”
และทุกช่วงเวลาที่อยู่ใน Park Hyatt Bangkok ล้วนเชื่อมโยงกับปรัชญานั้นอย่างแท้จริง
Staycation
ทันทีที่ก้าวเข้าสู่ห้องพักของ Park Hyatt Bangkok สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ “ความสงบที่หรูหรา” บรรยากาศที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความละเมียดตั้งแต่ก้าวแรก วัสดุธรรมชาติจากไม้จริง ผนังหินอ่อน และโทนสีอบอุ่นถูกออกแบบอย่างพิถีพิถันให้กลมกลืนกับแสงธรรมชาติที่ส่องผ่านเข้ามาอย่างนุ่มนวล ทุกเส้นสายของเฟอร์นิเจอร์ถูกออกแบบให้ไร้มุมแข็ง เพื่อให้รู้สึกถึงความโอบอุ้มและสงบผ่อนคลายในทุกมิติของห้องพัก
บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นมีของต้อนรับที่จัดเตรียมไว้ให้แขกผู้เข้าพักแบบพิเศษจากบริการี Executive Retreat เป็นมะพร้าวน้ำหอมสดใหม่ ผลไม้ตามฤดูกาลที่คัดสรรมาอย่างประณีต เสิร์ฟพร้อมขนมหวานโฮมเมดที่รังสรรค์อย่างตั้งใจ รายละเอียดเล็ก ๆ เหล่านี้สะท้อนถึงแนวคิด Luxury is Personal ของแบรนด์ได้อย่างงดงาม ซึ่งเป็นหัวใจของแบรนด์ที่แตกต่างจากโรงแรมหรูทั่วไป เพราะไม่ได้เน้น “ความหรูหราในวัตถุ” แต่เน้น “ความหรูที่เกิดจากความเข้าใจและการเชื่อมต่อส่วนตัวระหว่างโรงแรมกับแขก”







เมื่อสายตาเหลือบไปยังห้องน้ำ ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านี่คือ “สปาส่วนตัว” ที่แท้จริง ภายในตกแต่งด้วยหินอ่อนสีอ่อนตัดกับโทนไม้ธรรมชาติ พร้อมอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมกระจกบานสูง ให้คุณได้แช่น้ำอุ่นพลางชมวิวกรุงเทพฯ ยามค่ำคืน เสียงน้ำจากฝักบัวเรนชาวเวอร์ตกกระทบพื้นหินเรียบอย่างนุ่มนวล ขณะกลิ่นหอมของผลิตภัณฑ์อาบน้ำจาก Le Labo ลอยอบอวลไปทั่วห้อง กลายเป็นช่วงเวลาของการพักผ่อนที่เงียบ งาม และสมบูรณ์แบบที่สุด



ทุกองค์ประกอบของห้องพัก Park Hyatt Bangkok ถูกออกแบบให้ “เล่าเรื่อง” ผ่านความเรียบง่ายที่ซ่อนความซับซ้อน จากพื้นผิวไม้ขัดด้านที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นใต้ฝ่าเท้า ไปจนถึงงานศิลปะร่วมสมัยที่แขวนอยู่บนผนัง ทุกอย่างถูกร้อยเรียงไว้เพื่อให้คุณได้สัมผัสถึงความเป็น “บ้าน” ในแบบของโรงแรมลักซ์ชัวรีระดับโลก


Breakfast
เช้าวันรุ่งขึ้นเริ่มต้นด้วยแสงแดดอุ่นที่ส่องผ่านต้นไม้และกระจกเต็มบาน กลายเป็นภาพเช้าที่สวยเรียบจนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนั้น วิวเมืองกรุงเทพฯ จากกระจกเต็มบานทอดยาวไกลสุดสายตา แขกสามารถเลือกนั่งได้ทั้งพื้นที่ริมสระว่ายน้ำที่เป็นเอาดอร์ มีสายลมบางเบาพัดผ่านความเงียบสงบ หรือจะเป็นที่นั่งอินดอร์ที่เปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์แบบภายในห้องอาหาร Embassy Room ก็ได้เช่นกัน
อาหารเช้าที่นี่ขึ้นชื่อเรื่อง “ความใส่ใจในรายละเอียด” ทุกจานถูกออกแบบให้สะท้อนแนวคิด Luxury is Personal ความหรูที่อยู่ในความเรียบง่ายและความตั้งใจเล็ก ๆ ที่สัมผัสได้จริง เมนูจะเป็นแบบ à la carte เสิร์ฟร้อนสดใหม่ทุกจาน
เริ่มจากขนมปังอบสดใหม่หลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นครัวซองต์ที่กรอบบางแต่ยังคงความนุ่มใน, บริยอชหอมเนย และมัฟฟินโฮมเมด เสิร์ฟพร้อมเนยสดทำเองและน้ำผึ้งจากฟาร์มท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่ที่กลิ่นหอมอ่อนละมุน ต่อด้วยเมนูยอดนิยมตลอดกาล Eggs Benedict — ไข่แดงเยิ้มกำลังดีบน English muffin ที่อบจนกรอบนอกนุ่มใน ราดด้วยซอสฮอลแลนเดสเนียนละเอียดที่ให้รสกลมกล่อมและหอมเนยละมุนในทุกคำ
สิ่งที่กลายเป็น “เมนูโปรดส่วนตัว” ของเช้านี้คือ Taiwanese Beef Noodle Soup ก๋วยเตี๋ยวเนื้อสไตล์ไต้หวันที่ดูเรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยความละเมียดในรสชาติ น้ำซุปเคี่ยวใส่เครื่องเทศและสมุนไพรจีนจนหอมละมุน รสเข้มแต่กลมกล่อม เส้นเหนียวนุ่มกำลังดี เสิร์ฟคู่เนื้อวัวตุ๋นนุ่มที่แทบละลายในปาก ความหอมจากโป๊ยกั๊กและกลิ่นพริกหอมบาง ๆ ช่วยปลุกเช้าให้สดใสและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก จานนี้คือ comfort food ที่สมบูรณ์แบบที่สุดของเช้าวันพักผ่อน

สำหรับคนที่ชอบอาหารเช้าแบบเบา ๆ ทางฝั่งเอเชียก็มีให้เลือกอย่างครบถ้วน ทั้ง ซุปมิโสะร้อน ๆ กับเต้าหู้ญี่ปุ่นและสาหร่าย, ข้าวต้มปลาหรือไก่ที่ต้มจนข้าวละลายเนียนนุ่มราวซุปครีม และผักเคียงรสอ่อนที่ปรุงอย่างประณีต รวมถึงเมนูสุขภาพอย่างโยเกิร์ตโฮมเมดกับกราโนลาและผลไม้สดที่ตกแต่งบนจานอย่างมีศิลปะ
อีกหนึ่งเมนูใหม่ที่กลายเป็นไฮไลต์ของเช้านี้คือ “เครปใบเตย” (Pandan Crepe) — เครปสีเขียวอ่อนหอมกลิ่นใบเตยสด พับเป็นชั้นบางนุ่ม สอดไส้ครีมมะพร้าวและราดด้วยซอสคาราเมลกลิ่นหอมอ่อน ๆ รสละมุนไม่หวานจัด จานนี้ทั้งสวยและอร่อยจนอยากสั่งเพิ่ม

ระหว่างที่กาแฟลาเต้อุ่น ๆ ถูกยกมาเสิร์ฟพร้อมฟองนมเนียนละเอียด พนักงานก็เดินมาทักทายด้วยรอยยิ้มพร้อมแนะนำเมนูของวัน เป็นสัมผัสเล็ก ๆ ที่สะท้อนหัวใจของแบรนด์ Park Hyatt ได้อย่างชัดเจน ว่าความหรูไม่ใช่สิ่งที่ต้องโอ่อ่า แต่คือ “ความใส่ใจส่วนตัว” ที่ทำให้แขกรู้สึกเหมือนบ้านในแบบที่ดีที่สุด
และในเช้าวันนั้น ทั้งกลิ่นกาแฟ เสียงเบา ๆ ของถ้วยชาชนกัน และรอยยิ้มจากพนักงาน ทำให้คำว่า “Luxury is Personal” ไม่ได้เป็นเพียงสโลแกนของแบรนด์ แต่คือสิ่งที่รู้สึกได้จริงในทุกคำที่ลิ้มรส
Executive Retreat at The Park
สำหรับแขกที่เข้าพักในห้อง Premium หรือ Specialty Suite จะได้รับสิทธิ์เข้าใช้ Executive Retreat at The Park ที่ยกระดับการพักผ่อนให้เหนือกว่าความคาดหมาย ให้บริการ ณ Living Room ชั้น 9 ของโรงแรม ให้บริการตั้งแต่เวลา 12.00–19.00 น.
ประสบการณ์เริ่มต้นด้วย Midday Indulgence — เมนูมื้อกลางวันที่รังสรรค์จากวัตถุดิบสดใหม่ เช่น ส้มตำที่ปรุงใหม่ตามสั่ง ตลอดจนแซนด์วิชแบบโฮมเมด และยังมีเครื่องดื่มและขนมหวานที่หลากหลาย เพลิดเพลินมาก

ก่อนเข้าสู่ Afternoon Delights ที่เต็มไปด้วยขนมหวานชิ้นเล็กและชาหอมกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นมาการอง, ครัวซองต์, หรือขนมมูสเบอร์รี่นุ่มละลายในปาก
เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า Evening Elegancy ก็เริ่มต้นขึ้น เสิร์ฟอาหารเรียกน้ำย่อย พร้อมเครื่องดื่มจับคู่ที่ถูกออกแบบให้เข้ากับช่วงเวลาเย็นพอดี ทุกอย่างเกิดขึ้นในบรรยากาศเงียบสงบ เคล้ากลิ่นไม้และแสงไฟอบอุ่น


Penthouse Bar + Grill
เมื่อขึ้นลิฟต์สู่ชั้นบนสุดของ Park Hyatt Bangkok ประตูเปิดออกสู่โลกอีกใบที่เต็มไปด้วยพลังและเสน่ห์ของราตรี
Penthouse Bar + Grill เปรียบเสมือนสนามแห่งอารมณ์ของคนรักอาหารและศิลปะแห่งการใช้ชีวิต พื้นที่ที่รวมเอาเสียงหัวเราะ แสงไฟ และกลิ่นหอมของเตาถ่านมาร้อยเรียงเป็นค่ำคืนที่ลืมไม่ลง
เราเริ่มต้นที่ Rooftop Bar ท่ามกลางสายลมเย็นและวิวกรุงเทพฯ ที่ทอดยาวใต้แสงไฟระยิบระยับ
เครื่องดื่มในมือคือค็อกเทลที่รังสรรค์ขึ้นอย่างประณีต กลิ่นหอมของซิตรัสและกลีบดอกไม้ช่วยปลุกประสาทสัมผัสให้ตื่น รสชาติกลมกล่อมในจังหวะที่พอดี สดชื่นแต่ยังคงความหรูและลุ่มลึก เป็นการเริ่มต้นค่ำคืนที่งดงามที่สุด


จากนั้นเราลงมายัง The Grill ห้องอาหารที่เป็นหัวใจของ Penthouse ครัวเปิดเผยให้เห็นเชฟกำลังจัดการกับเตาถ่านไม้จริง กลิ่นเนื้อย่างและเนยละลายลอยอบอวลไปทั่ว เสียงไฟกระทบเนื้อดังแผ่วเบาเป็นจังหวะเดียวกับเสียงพูดคุยรอบโต๊ะ สร้างบรรยากาศที่ทั้งมีชีวิตชีวาและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน
เริ่มต้นด้วย Beef Tartare เนื้อวัวคุณภาพดีที่สับมาขนาดกำลังดี ผสมเครื่องเทศ รสชาติเข้มข้นแต่สมดุล กลิ่นหอมจากสมุนไพรและเครื่องเทศฝรั่งเศสช่วยให้รสเนื้อเด่นชัดขึ้น เป็นจานเรียกน้ำย่อยที่ทั้งเรียบง่ายและเต็มไปด้วยชั้นเชิง

ต่อด้วย Scallops หอยเชลล์ฮอกไกโดย่างจนผิวด้านนอกเป็นสีทองอมกรอบ เนื้อด้านในยังคงความหวานและนุ่มละมุน เสิร์ฟบนพิวเร่มันฝรั่งและซอสเลมอนบัตเตอร์ที่เพิ่มความหอมมัน รสชาติละเมียดและสมดุลจนทุกคำเหมือนละลายในปาก

จานต่อมา Caesar Salad ที่หลายคนอาจมองว่าเป็นเพียงเมนูมาตรฐาน แต่ที่นี่กลับทำออกมาได้อย่างมีเสน่ห์
ผักกรอบสดคลุกเคล้าด้วยซอสซีซาร์โฮมเมดรสกลมกล่อม โรยด้วยพาร์เมซานชีสขูดใหม่และเบคอนกรุบกรอบ
ทุกอย่างจัดจานอย่างประณีตและมีจังหวะสดชื่น เบา และเป็นการเตรียมลิ้นก่อนเข้าสู่จานหลักอย่างสมบูรณ์แบบ
ต่อด้วย Rack of Lamb ถูกยกมาเสิร์ฟอย่างงดงาม ซี่โครงแกะที่ย่างด้วยความร้อนพอดี เนื้อด้านในยังคงเป็นสีชมพูอ่อน กลิ่นหอมของโรสแมรี่และกระเทียมย่างแทรกซึมในทุกคำที่กัดเข้าไป เสิร์ฟคู่กับซอสไวน์แดงเข้มข้น รสชาตินุ่มละมุนจนแทบไม่ต้องใช้มีด เป็นจานที่สะท้อนศิลปะแห่งการย่างเนื้อได้อย่างสมบูรณ์

ถัดมาเป็น Black Market Ribeye เนื้อริบอายเกรดพิเศษจากออสเตรเลีย ย่างด้วยถ่านไม้จริงจนได้กลิ่นรมควันเฉพาะตัว ความนุ่มของเนื้อที่ยังคงฉ่ำ เสิร์ฟพร้อมซอสพริกไทยดำหอมเข้มและเครื่องเคียงสุดคลาสสิก พร้อมเมนูเคียงอย่าง
Mac & Cheese ที่ครีมซอสเข้มข้นหอมชีสละลาย Grilled Mushrooms ที่ย่างจนหอมกลิ่นไม้ และ Asparagus สดกรอบที่เพิ่มความสมดุลให้กับรสชาติของเนื้อได้อย่างลงตัว

มื้อค่ำนี้ปิดท้ายด้วย Penthouse Sundae ไอศกรีมวานิลลาแท้ เสิร์ฟคู่บราวนี่ช็อกโกแลตร้อนและคาราเมลซอสเข้มข้น
กลิ่นหวานของวานิลลาและความขมเล็กน้อยจากดาร์กช็อกโกแลตตัดกันอย่างพอดี จานนี้คือความสุขแบบเด็ก ๆ ที่ถูกยกระดับขึ้นในรูปแบบของ Penthouse Bar + Grill ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ

เมื่อขึ้นไปที่ Cocktail Bar อีกครั้ง เสียงร้องของ นักร้องที่กังวานขึ้นในบรรยากาศอบอุ่น เสียงนุ่มเหมือนควันจากแก้ววิสกี้ กลิ่นไม้และแสงไฟสีทองสะท้อนผิวแก้วที่บรรจุค็อกเทลสูตรพิเศษ ทุกอย่างในค่ำคืนนั้น อาหาร เครื่องดื่ม เสียงเพลง และความรู้สึก ถูกเรียงร้อยเข้าด้วยกันอย่างประณีต จนกลายเป็นช่วงเวลาที่ Park Hyatt Bangkok ถ่ายทอดความประทับใจให้กับเราได้อย่างงดงาม

Embassy Room La Marina
สำหรับใครที่มองหามื้อกลางวันที่ทั้งสบายและมีรสนิยม Embassy Room La Marina คือจุดหมายที่ไม่ควรพลาด ห้องอาหารอิตาเลียนแห่งนี้ตั้งอยู่บนชั้น 9 ของ Park Hyatt Bangkok พื้นที่ภายในตกแต่งด้วยโทนสีอ่อนและไม้ธรรมชาติ และผลเลมอน ให้ความรู้สึกสดใสได้ดีมาก

ก่อนที่อาหารจานหลักจะเริ่ม เชฟ Alessio Banchero เสิร์ฟขนมปังฟอคคาเซียอบใหม่จากเตา ผิวด้านนอกกรอบเบา ส่วนเนื้อในยังคงความนุ่มและชุ่มด้วยน้ำมันมะกอกอุ่น ๆ กลิ่นหอมของสมุนไพรแทรกอยู่ในทุกชั้นของแป้ง พอฉีกออกกลิ่นโรสแมรี่และใบไธม์จะลอยขึ้นมาแตะจมูกทันที ด้านบนโรยด้วยมะเขือเทศเชอร์รี่สดที่ผ่านการอบจนรสหวานเข้มข้น และมะกอกดำที่เค็มนุ่มอย่างมีมิติ เป็นการเริ่มต้นมื้ออาหารที่สะท้อนเสน่ห์ของครัวอิตาเลียนได้อย่างงดงาม


เชฟ Alessio Banchero ถ่ายทอดประสบการณ์กว่า 20 ปีในห้องครัวอิตาเลียนผ่านเมนูที่ให้ความรู้สึกเหมือนการเดินทาง ทุกจานคือการเล่าเรื่อง เรื่องราวของท้องทะเล หมู่บ้านชาวประมง ที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจของมื้อนี้
เราเริ่มต้นด้วย Casoncelli di Gamberi พาสต้าแผ่นบางทำมือ สอดไส้กุ้งและริคอตต้าชีส ปรุงด้วยซอสที่ใช้มะเขือเทศสด น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ และกระเทียมกลิ่นอ่อน รสชาติหวานจากกุ้งสดตัดกับความเค็มละมุนของชีสและความเปรี้ยวเล็กน้อยจากซอสได้อย่างลงตัว เนื้อพาสต้าเหนียวนุ่มในแบบอิตาเลียนแท้ จานนี้คือการเริ่มต้นที่นุ่มนวลและอ่อนโยน เหมือนคลื่นทะเลที่ซัดเข้าฝั่งเบา ๆ

ถ้ามีจานใดในมื้อนี้ที่ทำให้เข้าใจความหมายของคำว่า “less is more” ได้อย่างลึกซึ้ง คงหนีไม่พ้น Spaghetti alle Vongole, Bottarga e Limone พาสต้าเส้นเรียวยาวที่ดูเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดและความแม่นในจังหวะของรสชาติ
เชฟ Alessio Banchero ใช้เส้นสปาเกตตีอิตาเลียนแท้ที่ลวกในจังหวะ al dente ให้ความหนึบและแรงต้านในปากอย่างพอดี ก่อนจะนำไปคลุกกับ Hamaburi clams หรือหอยตลับญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่อเรื่องรสหวานและความสดในเนื้อสัมผัส
น้ำซอสของจานนี้ไม่ได้เข้มข้น แต่กลับ “บางเบา” อย่างมีเสน่ห์ เป็นซอสจากน้ำหอยตลับที่เคี่ยวกับไวน์ขาว กระเทียม และพริกแห้งเล็กน้อย ราดเคลือบเส้นให้มันวาวจนแทบสะท้อนแสง
เหนือเส้นพาสต้า เชฟโรย Bottarga หรือไข่ปลาเก๋าแห้งขูดละเอียด ซึ่งให้กลิ่นหอมและรสเค็มมันเฉพาะตัว เมื่อตัดกับ Lemon Zest ที่โปรยอยู่บาง ๆ กลิ่นเลมอนสดจะปลุกประสาทรับรสให้ตื่นขึ้นทันที ทุกองค์ประกอบจึงสมดุลระหว่างเค็ม มัน และเปรี้ยวสดในคำเดียว
คำแรกคือความเค็มละมุนของ bottarga คำต่อมาคือความสดใสของเลมอนที่พาให้รสทะเลดูเบาและโปร่ง ส่วนท้ายของรสชาติคือความหวานนวลจากเนื้อหอยตลับที่แทรกอยู่ในทุกคำ

Merluzzo della Patagonia alla Ligure คือจานที่เรียบง่าย และงดงามในรายละเอียด ไม่ได้ดึงดูดสายตาด้วยสีสันฉูดฉาด แต่กลับตราตรึงด้วย “ความสมดุล” ของทุกองค์ประกอบบนจาน เนื้อปลาที่เชฟเลือกใช้คือ Patagonian Toothfish “Glacier 51” จากน่านน้ำลึกทางตอนใต้ของโลก ปลาที่ขึ้นชื่อเรื่องเนื้อแน่น ละเอียด และมีไขมันธรรมชาติแทรกอย่างพอดี เชฟนำมาปรุงแบบ Pan-seared ให้ผิวด้านนอกเป็นสีทองกรอบบาง ๆ ขณะที่เนื้อในยังคงความนุ่มชุ่มฉ่ำเหมือนเนยอุ่น
บนจานมีเพียงองค์ประกอบไม่กี่อย่าง แต่ทุกอย่างล้วนมีหน้าที่ของมัน มะเขือเทศเชอร์รี ที่ผ่านการอบจนรสหวานเข้มช่วยเติมชีวิตชีวาให้กับรสทะเลของปลา มะกอกดำ Taggiasche จากลิกูเรียให้ความเค็มนุ่มและกลิ่นหอมลึกแบบ earthy ซอสที่ราดบางเบาคือ White Wine Sauce ที่ปรุงด้วยไวน์ขาว น้ำมันมะกอก และน้ำสต๊อกปลา เคี่ยวจนเนียนละเอียดและหอมกลิ่นผลไม้
เมื่อช้อนลงไปคำแรก รสชาติทั้งหมดรวมกันอย่างนุ่มนวล กลิ่นไวน์หอมบาง ๆ นำรสเค็มมันของปลา ตามด้วยความสดชื่นจากมะเขือเทศและมะกอกดำ จานนี้คือภาพสะท้อนของอาหารอิตาเลียนชายฝั่งที่แท้จริง ไม่ต้องประดิษฐ์ ไม่ต้องซับซ้อน แต่ทุกองค์ประกอบผ่านการคิดอย่างละเอียด ให้รสชาติของวัตถุดิบพูดแทนคำอธิบายทั้งหมด

กลิ่นของพิซซ่าอบใหม่ลอยมาแต่ไกล ก่อนจานจะถูกยกมาวางตรงหน้า Pizza Culatello, Rucola e Stracciatella คือหนึ่งในเมนูที่ทำให้เข้าใจทันทีว่า “ความเรียบง่าย” ของอาหารอิตาเลียนนั้นลึกซึ้งเพียงใด
ฐานแป้งบางกรอบถูกอบด้วยไฟแรงจนขอบพองฟูเล็กน้อย กลิ่นแป้งหอมไหม้นิด ๆ จากเตาอบให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนครัวในบ้าน บนแป้งนั้นราดด้วยซอสมะเขือเทศสดรสกลมกล่อม เปรี้ยวหวานอย่างพอดีและเต็มไปด้วยความสดของผลไม้จริง วางทับด้วย Fior di Latte mozzarella ที่ละลายเป็นริ้วสีขาวนวล เคลือบผิวพิซซ่าให้ชุ่มฉ่ำ
เชฟแต่งหน้าด้วย Culatello ham แฮมอิตาเลียนชั้นดีที่หอมกลิ่นบ่มและรสเค็มละมุน เพิ่มความสดด้วย ใบอารูกุลา ที่ให้รสขมอ่อน ๆ และกลิ่นเผ็ดนิด ๆ แบบสมุนไพรสด ก่อนปิดท้ายด้วย Stracciatella cheese เนื้อครีมนุ่มที่วางลงบนหน้าพิซซ่าหลังอบใหม่ ๆ เมื่อชีสเริ่มละลายและผสมเข้ากับความเค็มของแฮม ความมันของมอสซาเรลลา และความสดของอารูกุลา ทุกอย่างรวมกันเป็นรสชาติที่กลมกลืนอย่างสมบูรณ์แบบ
คำแรกคือความหอมจากแป้งที่เพิ่งออกจากเตา คำต่อมาคือความเค็มมันของชีสที่คลี่ตัวอยู่บนปลายลิ้น และเมื่อรสเปรี้ยวของมะเขือเทศเจอกับกลิ่นหอมของ Culatello ทุกอย่างเหมือนเต้นไปในจังหวะเดียวกัน
พิซซ่าจานนี้ไม่ได้หวือหวา แต่มีเสน่ห์แบบ “ความแม่นของรสชาติ” ที่เกิดจากวัตถุดิบและเทคนิคที่ไว้ใจกันได้
เป็นจานที่บ่งบอกตัวตนของ Embassy Room La Marina ได้ดีที่สุด อบอุ่น เรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความพิถีพิถันที่สัมผัสได้ในทุกคำ

หลังจากผ่านรสชาติของทะเลและซอสสมุนไพรอันละเอียดอ่อน เชฟ Alessio Banchero เสิร์ฟของหวานสองจานที่เปรียบเสมือนบทส่งท้ายของมื้อกลางวัน เบา สดชื่น
เริ่มจาก Torta al Limone, Fragole e Meringa เลมอนทาร์ตที่ผสมผสานระหว่างรสเปรี้ยวหวานได้อย่างพอดี ฐานอบจนกรอบหอมเนย วางเลเยอร์ครีมเลมอนเนียนละเอียดที่ให้รสเปรี้ยวสดแบบธรรมชาติ ไม่หวานจัด แต่งหน้าด้วยสตรอว์เบอร์รี่สดสีแดงฉ่ำ และเมอแรงก์เบา ๆ ที่ถูกเบิร์นจนผิวด้านบนมีสีน้ำตาลทอง ทุกองค์ประกอบรวมกันแล้วให้รสสัมผัสที่ทั้งซับซ้อนและสดใส กลิ่นเลมอนลอยขึ้นมาแตะจมูกในจังหวะเดียวกับความหอมไหม้ของเมอแรงก์ เป็นขนมที่ทั้งปลุกประสาทสัมผัสและทำให้ยิ้มโดยไม่รู้ตัว

ต่อด้วย Sorbetto La Marina ซิกเนเจอร์โฮมเมดเลมอนซอร์เบต์ของร้าน ความเย็นและเปรี้ยวสดของเลมอนแท้พาให้ลิ้นตื่นขึ้นอีกครั้งหลังมื้ออาหาร รสชาติคมใสเหมือนอากาศริมทะเลในเช้าวันใหม่ ไม่มีอะไรซับซ้อนแต่สมบูรณ์ในตัวเอง ทุกช้อนให้ความรู้สึกเหมือน “ล้างความหนักของมื้อ” แล้วเติมพลังให้กับบ่ายวันนั้นอย่างแผ่วเบา

Essence of Citrus Afternoon Tea
ช่วงบ่ายใน The Living Room ของ Park Hyatt Bangkok กลายเป็นเวลาที่น่าจดจำที่สุดเมื่อได้ลอง “Essence of Citrus Afternoon Tea” เซตขนมที่ถ่ายทอดรสชาติของซิตรัสจากทั่วเอเชีย
เริ่มจากขนมหวานชิ้นเล็กอย่าง Yuzu Namelaka จากญี่ปุ่น ผสานส้มโอไทยและเมอแรงก์อิตาเลียน, Pink Grapefruit จากเวียดนามที่แต่งด้วย Timut pepper และบิสกิตน้ำมันมะกอก, Sudachi Confit จากเกาหลีใต้ที่ซ่อนความหอมละมุนไว้ในเนื้อเค้ก, และ Kalamansi Basque Cheesecake จากฟิลิปปินส์ ที่ทั้งหอมและสดชื่นในคำเดียว
ส่วนเมนูคาวก็ยั่วน้ำลายไม่แพ้กัน อกเป็ดรมควันกับส้มกุ้งและซอสแมนดารินเจล, หอยเชลล์ฮอกไกโดกับมะพร้าวอ่อนและฟิงเกอร์ไลม์, และ ฟัวกราส์เทอร์รีนกับเยลลี่ราสป์เบอร์รีและยูซุเพรสเซิร์ฟ ทุกคำสมดุลระหว่างความสดชื่นและความเข้มข้นได้อย่างลงตัว ปิดท้ายด้วยชาใบพรีเมียมและขนมบน Tea Cake Trolley อย่าง Matcha Madeleines, Vanilla Pecan Financier, และ Persian Lime Bonbons ความหอมที่ทำให้บ่ายนั้นกลายเป็นช่วงเวลาที่อยากหยุดไว้ให้นานที่สุด



Park Hyatt Bangkok
📍 88 Wireless Road, Lumpini, Pathumwan, Bangkok 10330
☎️ โทร: +66 (0)2 012 1234
✉️ อีเมล: [email protected]
🌐 เว็บไซต์: www.hyatt.com/parkhyattbangkok
📸 Instagram: @parkhyattbangkok